เที่ยวเชียงราย เป็นจุดหมายปลายทางของเราในครั้งนี้ เริ่มต้นที่สนามบินดอนเมือง ปลายทางสนามบินแม่ฟ้าหลวง โดยสายการบินที่เราคุ้นเคยที่สุดเพราะใช้บริการบ่อยที่สุดกับสายการบิน AirAsia ครั้งนี้เราตื่นเต้นไม่น้อยเพราะแทบจะไม่ได้วางแผนอะไรไว้เลย กะว่าไปถามเอาข้างหน้า แค่วางไว้คร่าวๆ ว่าอยากจะขึ้นดอยสักดอยนึง แล้วก็ไปเที่ยวประเทศเพื่อนบ้านสักหน่อยไม่ลาวก็พม่านี่แหละ ทริปนี้เราเลือกใช้วิธีการเช่ารถขับจะได้เดินทางสะดวกขึ้นหน่อย ตามไปดูกันว่าทริป 3 วัน 2 คืนของเรานั้นไปไหนกันมาบ้าง แอบบอกก่อนเลยว่าทริปแค่ 3 วันดูเหมือนไม่มาก แต่ไปได้ถึง 3 ประเทศเลยนะ เฮ้ย!

Day 1 เที่ยวเชียงราย พิพิธภัณฑ์บ้านดำ – ดอยแม่สลอง

ถึงสนามบินเชียงราย รับรถแล้วออกเดินทางกัน จุดหมายปลายทางของเราวันนี้ เราจะพาขึ้นดอยไปสัมผัสวิถีชีวิตชุมชนบนดอยที่ “ดอยแม่สลอง” แต่ก่อนจะไปนั้น ขอแวะเที่ยวตามทางสักนิด

พิพิธภัณฑ์บ้านดำ

มาเที่ยวเชียงรายทั้งที ต้องแวะมาพิพิธภัณฑ์บ้านดำของศิลปินแห่งชาติ อ.ถวัลย์ ดัชนี ไม่ไกลจากสนามบินแม่ฟ้าหลวง ชวนกันมาเดินเสพงานศิลป์ ซึมซับศิลปะของศิลปินแห่งชาติที่ อ.ถวัลย์ ตั้งใจสร้างสรรค์ขึ้นมา แต่ขอบอกตามตรงว่าบางอย่างเราเองก็เข้าไม่ถึงสักเท่าไหร่ แต่ก็อยากมาให้เห็นด้วยตาตัวเองสักครั้ง

“อย่าเสาะแสวงหาความเข้าใจแจ้ง ในเรื่องราว รูปแบบ และเนื้อหา

จงรู้สึกและสัมผัสจากดวงจิต ไปสู่ดวงจิต โดยไร้คำกล่าว”

— อ.ถวัลย์ ดัชนี —

พิพิธภัณฑ์บ้านดำ-1

พื้นที่ภายในพิพิธภัณฑ์บ้านดำ กว้างมากมีหลายจุดให้ได้เดินชมกัน ถ้าใครไปควรจะมีเวลาอยู่ที่นี่อย่างน้อย 1 ชม. ซึ่งอาจจะน้อยไปด้วยซ้ำ ชั่วโมงครึ่ง – 2 ชม. น่าจะกำลังดี เริ่มต้นจากวิหารแรกมีชื่อว่า “วิหารเล็ก” เป็นวิหารที่ตั้งอยู่ด้านหน้าสุด ทุกคนที่มาจะได้เข้ามาชมความงามของที่นี่ก่อนเป็นอันดับแรก

พิพิธภัณฑ์บ้านดำ-2

ภายในบ้านดำร่มรื่นเพราะมีต้นไม้อยู่มาก ถ้าได้มาเดินตอนหน้าหนาวคงจะเพลินไม่น้อย เดินต่อไปเรื่อยๆ เราเริ่มไม่รู้ละว่า แต่ละเรือนมีชื่ออะไรกันบ้าง รู้แต่เพียงว่าผลงานทุกชิ้น บ้านเรือนทุกหลังที่ได้เดินชม คืองานศิลปะที่สร้างสรรค์ขึ้นมาได้อย่างสวยงามจริงๆ

พิพิธภัณฑ์บ้านดำ-3 พิพิธภัณฑ์บ้านดำ-4พิพิธภัณฑ์บ้านดำ-5พิพิธภัณฑ์บ้านดำ-6พิพิธภัณฑ์บ้านดำ-7พิพิธภัณฑ์บ้านดำ-8พิพิธภัณฑ์บ้านดำ-9


เที่ยวเชียงราย-1

บ้านดินอาข่า

เราตั้งใจเดินทางไกลนับร้อยโค้ง เพราะอยากให้ธรรมชาติได้โอบกอดเราไว้ ปรับจังหวะชีวิตของตัวเองให้ช้าลง นอนในบ้านดินที่รายล้อมด้วยขุนเขาและป่าไม้ ธรรมชาติที่มองไปทางไหนก็มีแต่สีเขียวเต็มไปหมด ได้สัมผัสวิถีชีวิตของชนเผ่าที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อนกับ “ชนเผ่าอาข่า” ที่นี่บ้านดินอาข่า หมู่บ้านหล่อโย ดอยแม่สลอง

ขับรถเลี้ยวเข้าหมู่บ้าน ระหว่างทางเจอฝนตกตลอด ทางเข้าบ้านดินอาข่าบางช่วงเป็นดินและทางแคบๆ ฝนตกถนนลื่น แถมดินในหมู่บ้านก็ดูเละจนคิดว่าถ้าขับไปอาจจะลื่นหรือติดหล่มได้ เราเลยตัดสินใจจอดรถไว้กลางทาง ที่ลานกว้างๆ เหมือนเป็นสนามฟุตบอลของคนในหมู่บ้าน แล้วเดินเท้ากันต่อน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนั้น

บ้านดินอาข่า-1 บ้านดินอาข่า-2 บ้านดินอาข่า-3

บ้านดินอาข่าเริ่มสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 2007 โดยการใช้ดินจากในหมู่บ้านมาสร้างเป็นบ้านดิน ค่อยๆทำค่อยๆสร้างจนปัจจุบันมีห้องพักทั้งหมด 8 ห้อง มีทั้งแบบห้องน้ำในตัวและห้องน้ำรวม เป็นโฮมสเตย์ที่น่ารักและใกล้ชิดธรรมชาติมาก คนมาพักที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติ ที่อยากสัมผัสวิถีชีวิตและใกล้ชิดกับธรรมชาติมากๆแบบนี้ ตอนที่เราไปไม่มีคนไทยสักคน อาจเป็นเพราะว่าคนไทยไม่ชอบเที่ยวภาคเหนือหน้าฝน แต่ชอบเที่ยวหน้าหนาวมากกว่า

บ้านดินอาข่า-4บ้านดินอาข่า-5บ้านดินอาข่า-6บ้านดินอาข่า-7

คุณโยฮันเจ้าของที่นี่ดูแลดีมาก เล่าเรื่องราวต่างๆของหมู่บ้านหล่อโย ชุมชนอาข่า ให้ฟังมากมาย หมู่บ้านดั้งเดิมที่ไม่ได้ผ่านการปรุงแต่ง ยังคงไว้ซึ่งวัฒนธรรมและวิถีของคนในชุมชนแห่งนี้อย่างแท้จริง ชาวอาข่าส่วนใหญ่เป็นคริสเตียน เพราะเมื่อประมาณ 50 ปีก่อนมีมิชชันนารีเข้ามาเผยแพร่ ถึงว่า..ตอนเดินเข้ามาเห็นมีโบสถ์เล็กๆอยู่ด้วย

บ้านดินอาข่า-8

บรรยากาศที่บ้านดินอาข่านี่สุดยอดจริงๆ มาหน้าฝนแบบนี้ก็ดีอย่าง คือต้นไม้ดูเขียวชุมฉ่ำไปหมด นอกจากห้องพักแล้วคุณโยฮันยังทำพิพิธภัณฑ์เล็กๆเพื่อบอกเล่าถึงชาติพันธ์ุอาข่า มีประตูผีเป็นทางเข้า และด้านบนหลังคาเรียกว่ากาแล ซึ่งกาแลนี้จะใช้สัญลักษณ์รูปคน ปลา นก หรือปืนก็ได้ เป็นการป้องกันไม่ให้สิ่งชั่วร้ายเข้าบ้าน

บ้านดินอาข่า-9บ้านดินอาข่า-10บ้านดินอาข่า-11บ้านดินอาข่า-12

พาไปดูภายในห้องนอนกันบ้าง ทุกห้องทำจากดินและตกแต่งด้วยขวดแก้ว ห้องที่เราเลือกเป็นแบบห้องน้ำในตัว มีเครื่องทำน้ำอุ่นให้ด้วย ดูเรียบง่ายแต่นอนสบายทีเดียว ราคาตอนที่ไปก็ไม่แพง 1,000 บาท

บ้านดินอาข่า-13 บ้านดินอาข่า-14 บ้านดินอาข่า-15

จากบ้านดินอาข่า เราจะขึ้นดอยไปอีกหน่อย ไปดูว่าบนดอยแม่สลองมีอะไรน่าสนใจให้เราทำบ้าง ก่อนออกจากหมู่บ้านหล่อโย ฝนยังคงตกพรำๆ อยู่เหมือนเดิม

บ้านดินอาข่า-16 บ้านดินอาข่า-17


ไร่ชา 101

ไร่ช่า 101 บนดอยแม่สลอง เป็นไร่ชาที่ได้รับรางวัลอันดับ 1 จากการประกวดชาโลก ดังนั้นเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว ต้องห้ามพลาดการชิมชาระดับโลกแบบนี้เลย เราสามารถชิมชาที่นี่ได้ฟรี โดยจะมีเจ้าหน้าที่คอยต้อนรับและสาธิตวิธีการชงชารวมถึงบอกเทคนิคการดื่มชาให้ด้วย

ไร่ชา 101-1ไร่ชา 101-2ไร่ชา 101-3

ถึงฝนจะตก แต่บรรยากาศที่อยู่ตรงหน้าเราตอนนี้ บอกได้คำเดียวว่าคุ้มค่ามากๆ ไร่ชาขั้นบันไดที่มีฉากหลังเป็นทิวเขาเขียวขจี บวกกับเมฆหมอกจางๆ ที่ลอยอยู่อย่างบางเบา ทำให้เราไม่อยากจะไปไหนเลยตอนนี้

ไร่ชา 101-4ไร่ชา 101-5ไร่ชา 101-6ไร่ชา 101-7

ฝนยังคงตกอยู่เปาะแปะ แต่เราอยากลงไปสัมผัสไร่ชาใกล้ๆ ดูว่าเค้ากำลังทำอะไรกัน พยายามถามเค้าว่ากำลังทำอะไรอยู่ แต่ดูเหมือนจะไม่เข้าใจภาษาเราเท่าไหร่ เราเลยเดาเอาเองว่าคงกำลังใส่ปุ๋ยให้ต้นชาอยู่ล่ะมั้ง ได้ก้มดูยอดอ่อนใบชาใกล้ๆ ถึงจะต้องกางร่มเดินย่ำดินเปียกๆ เฉอะแฉะไม่น้อย แต่ก็เพลินดีนะ

ไร่ชา 101-8ไร่ชา 101-9ไร่ชา 101-10ไร่ชา 101-11ไร่ชา 101-12ไร่ชา 101-13


ดอยแม่สลอง

มีตลาดเล็กๆบนดอยแม่สลอง บริเวณหลักกิโลเมตรที่ 0 บรรยากาศค่อนข้างเงียบ เพราะเป็นช่วง Low Season แถมเจอฝนตกอีกต่างหาก เลยมองไม่ค่อยเห็นนักท่องเที่ยวเท่าไหร่

ดอยแม่สลอง-1 ดอยแม่สลอง-2

เดินไปสักพักก็จะมีชาวเขามาขายของที่ระลึกตลอดทาง ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกสร้อยกำไลข้อมือ เด็กๆที่นี่น่ารักดีเราเห็นแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ เพราะพยายามตื้อให้ช่วยซื้อของตลอด แต่วิธีการพูดเหมือนหุ่นยนต์ที่พูดซ้ำไปซ้ำมา “ช่วยซื้อหน่อยนะคะ” “ช่วยซื้อหน่อยนะคะ” วนลูปแบบนี้จนนึกว่าเทปยาน เราไม่อยากซื้อเพราะไม่ได้ใส่ของแบบนี้เท่าไหร่ แต่ก็อยากช่วยเด็ก เลยบอกไปว่า “พี่ไม่ซื้อนะแต่ขอถ่ายรูปแล้วให้เงินไปกินขนมแทนได้ป่าว” แค่นั้นแหละยิ้มแฉ่งเลย “ได้ค่ะ” แล้วเทปที่วนลูปเมื่อกี้ก็กลายเป็นเสียงลั่นชัตเตอร์แทน

ดอยแม่สลอง-3

จากตลาดเล็กๆ มาถึงสุสานนายพลต้วน ถามชาวบ้านว่าเดินเข้าไปไกลมั้ย “1 กิโล” เป็นคำตอบที่เราได้กลับมา เคยได้ยินคำว่า 1 กิโลแม้วกันใช่มั้ย เราว่าไม่ธรรมดาแน่ๆ กับการขึ้นไปสุสานนายพลต้วน 555

สุสานนายพลต้วน-1

เดินขึ้นไปมีดอกไม้สวยๆให้เห็นตลอดสองข้างทาง เดินไปสักพัก มองไปข้างหน้า ยังไม่เห็นวี่แววของปลายทาง ก้มลงมองนาฬิกาซึ่งเริ่มเย็นแล้ว เราเลยตัดสินใจหันหลังกลับ เพราะอยากกลับไปบ้านดินอาข่าก่อนฟ้ามืด น่าเสียดายที่เรามีเวลาให้กับดอยแม่สลองน้อยเกินไป แต่เราต้องไปกันแล้ว

สุสานนายพลต้วน-2 สุสานนายพลต้วน-3


หมู่บ้านหล่อโย ชุมชนอาข่า

หมู่บ้านหล่อโย-1 หมู่บ้านหล่อโย-2

กลับมาที่บ้านดินอาข่าก่อนฟ้ามืด นี่คือวิวที่มองเห็นได้จากหมู่บ้านหล่อโย ระหว่างทางที่กำลังเดินไปบ้านดินอาข่า เราเดินไปเจอคุณตาคุณยาย ที่ใช้ชีวิตกันอย่างเรียบง่าย ขอเข้าไปดูวิวจากบ้านแกนิดนึง คุยไปคุยมาอุดหนุนสร้อยข้อมือมาหนึ่งเส้น (คุยกันไม่รู้เรื่องนะคนละภาษา แต่แกก็ยิ้มให้ตลอด) เจอเด็กน้อยกลุ่มนึงที่กำลังเล่นทอยลูกแก้วกันอย่างสนุกสนาน ได้สัมผัสวิถีในหมู่บ้านเล็กๆแบบนี้ ช่างมีความสุขจริงๆ

หมู่บ้านหล่อโย-3 หมู่บ้านหล่อโย-4 หมู่บ้านหล่อโย-5 หมู่บ้านหล่อโย-6 หมู่บ้านหล่อโย-7


มื้อเย็นแบบชาวอาข่า

เย็นนี้เรามีนัดกินข้าวมื้อเย็นแบบชาวอาข่ากัน ถ้าอยากลองชิมอาหารแบบชาวอาข่าให้แจ้งคุณโยฮันไว้ก่อนเลย เค้าจะได้เตรียมอาหารไว้ให้ ถึงเวลาเย็นๆก็จัดชุดมาให้เป็นเหมือนขันโตก ปูเสื่อนั่งกินกันริมระเบียง นั่งพูดคุยกับคุณโยฮันถึงที่มาที่ไปของที่นี่ ได้รู้จักเพื่อนใหม่ต่างชาติต่างภาษา กับอาหารราคา 2 คน 500 บาท ถือว่าคุ้มค่ามากแถมรสชาติยังอร่อยอีกต่างหาก

อาหารอาข่า-1 อาหารอาข่า-2


DAY 2 เที่ยวประเทศเพื่อนบ้าน พม่า-ลาว

ตื่นเช้ามาสูดอากาศบริสุทธิ์กันให้เต็มปอด แล้วเตรียมตัวเดินทางไปยังจุดหมายต่อไป วันนี้เราว่าจะข้ามแดนไปประเทศเพื่อนบ้านกัน ซึ่งตอนแรกคิดว่าจะไปประเทศเดียว แต่ดูเวลาแล้วน่าจะไปได้ทั้ง 2 ประเทศ พม่า-ลาว ไปเดินดูบรรยากาศชายแดนประเทศเพื่อนบ้านของเรากันหน่อยดีกว่าว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง

ดอยแม่สลอง-4

การเดินทางแบบ Road Trip มันสนุกตรงที่นึกอยากจะจอดไหนก็จอดนี่แหละ เห็นวิวสวยเป็นไม่ได้ต้องแวะจอดตลอดทาง นี่ก็เป็นอีกที่นึงที่เราพบระหว่างทาง “นาขั้นบันได” ระหว่างลงดอยแม่สลอง

ดอยแม่สลอง-5 ดอยแม่สลอง-6 ดอยแม่สลอง-7

ด่านพรมแดนอำเภอแม่สาย

มาถึงด่านพรมแดนอำเภอแม่สาย ชายแดนไทย-พม่า เข้าใจมาตลอดว่าคนไทยที่จะเดินทางไปพม่าอยู่ไม่กี่วันไม่ต้องทำวีซ่า แค่ใช้พาสปอร์ตเราก็เข้าประเทศเค้าได้เลย ซึ่งนั่นคือเราเข้าใจผิด ถ้าเข้าประเทศเค้าโดยเครื่องบินอ่ะใช่ แค่มีพาสปอร์ตก็เข้าได้จริงๆ แต่ถ้าจะข้ามแดนแบบนี้น่ะเหรอ ต้องไปทำใบผ่านแดนก่อนนะจ๊ะ (งงสิ! ทำไมไม่ทำให้มันเหมือนกัน)

ด่านพรมแดนอำเภอแม่สาย-1ด่านพรมแดนอำเภอแม่สาย-2

ไม่ต้องตกใจไป แถวนั้นมีพี่วินคอยรับจ้างไปทำบัตรผ่านแดนให้ ง่ายมากแค่เอาบัตรประชาชนให้พี่วินไป ยืนรอไม่เกิน 10 นาที พี่วินก็กลับมาพร้อมใบผ่านแดนเรียบร้อย (ใบผ่านแดน คนละ 30 บาท ค่าพี่วิน 40 บาท) ได้มาปุ๊บก็เดินผ่านตม.เข้าไปได้อย่างสบายใจ อ่อ! ต้องเสียเงินค่าตม.อีกคนละ 10 บาทด้วยนะ


พม่า

พม่า-1

ทริปนี้เป็นทริปที่เราสนุกมาก เมื่อกี้อยู่ฝั่งไทยกันอยู่เลยเดินผ่านประตูไปไม่กี่ก้าว ก็ข้ามเป็นอีกประเทศแล้ว อย่างที่บอกไปตั้งแต่แรกแล้วว่า การเดินทางของเราครั้งนี้ข้อมูลน้อยมากแทบไม่ได้หากันมา ข้ามมาแล้วไม่รู้ว่าต้องเจออะไรบ้าง มีอะไรให้เที่ยวบ้าง พอมาเจอของจริงเมื่อเดินข้ามฝั่งมายังพม่า ไม่ต้องห่วงเลยว่าไม่รู้จะไปเที่ยวไหน เพราะจะมีคนขับรถสามล้อเครื่องมาดักรอเสนอแพคเกจเที่ยวที่หน้าประตูกันเต็มไปหมด เลือกเอาสักคนต่อรองราคากันให้เรียบร้อย ราคาที่เราตกลงมาได้คือ 200 บาท ไม่รู้ถูกหรือแพงนะ แต่ก็ไปกันเถอะ go!

พม่า-2

สถานที่ที่พี่เค้าจะขับรถพาเราทัวร์ในวันนี้ อยู่ไม่ไกลจากชายแดนพม่ามากนัก ใช้เวลาในการนั่งรถเที่ยวชมสถานที่ต่างๆไม่นานประมาณ 1 ชม. แล้วแต่ว่าจะอยู่แต่ละที่นานแค่ไหน เรามาเริ่มที่แรกกันเลย

1.วัดพระเจ้าระแข่ง-พระทันใจ

ที่แรกก็ทำให้เราตื่นตาตื่นใจทีเดียว “วัดพระเจ้าระแข่ง” เพราะวัดที่นี่สวยงามแปลกตาจากที่เราเคยเห็นมาก่อน แถมวันนั้นโชคดียังได้เจอชาวพม่าแต่งตัวพื้นเมืองมาที่วัดกันด้วย เลยขอเค้าถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกสักหน่อย คุยกันไม่ค่อยเข้าใจไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเค้าถึงต้องแต่งตัวพิเศษมาแบบนี้

วัดพระเจ้าระแข่ง-1 วัดพระเจ้าระแข่ง-2 วัดพระเจ้าระแข่ง-3 วัดพระเจ้าระแข่ง-4 วัดพระเจ้าระแข่ง-5

2.พระธาตุเจดีย์ทอง ชเวดากอง

เมื่อมาถึงพระธาตุเจดีย์ทอง ชเวดากอง (เจดีย์ชเวดากองจำลอง) จะมีเด็กน้อยชาวพม่าคอยเข้ามากางร่มให้ คอยแนะนำการไหว้ขอพรของที่นี่ว่าควรจะต้องทำอย่างไร คนที่นี่พูดภาษาไทยได้เป็นอย่างดี เงินที่ใช้ก็เป็นเงินไทยนะ ด้านบนมีของที่ระลึกขาย และสามารถมองลงมาด้านล่างเห็นเมืองพม่าแบบพาโนรามาได้อีกด้วย หลังจากที่เด็กๆพาเราเดินเสร็จแล้ว ก็มีขายของเราเล็กๆน้อยๆ ถ้าขายได้ก็จะได้เปอร์เซนต์นิดหน่อย เห็นเด็กๆน่ารักดี เลยซื้อสบู่ทานาคา กับเงินพม่ามา ถือว่าช่วยเด็กให้มีค่าขนมแล้วกัน

ชเวดากอง จำลอง -1ชเวดากอง จำลอง -2ชเวดากอง จำลอง -3 ชเวดากอง จำลอง -4 ชเวดากอง จำลอง -5ชเวดากอง จำลอง -6 ชเวดากอง จำลอง -7 ชเวดากอง จำลอง -8 ชเวดากอง จำลอง -9 ชเวดากอง จำลอง -10 ชเวดากอง จำลอง -11

3.วัดพระหยก-พระสามมิติ

วัดพระหยก เป็นวัดเล็กๆ ที่มีพระหยกสีขาวให้เราได้กราบไหว้ขอพร และยังมีพระสามมิติ ที่ตั้งอยู่ด้านหน้าพระหยกซึ่งเป็นจุดเด่นของที่นี่ด้วย คือเวลาเราเดินไปทางไหนพระก็จะมองตามเราไปตลอด

วัดพระหยก-พระสามมิติ -1 วัดพระหยก-พระสามมิติ -2 วัดพระหยก-พระสามมิติ -3

สุดท้ายพี่คนขับจะพาเราไปดูพลอยด้วย แต่เราไม่ไปดีกว่าเลยให้พี่เค้าพากลับตลาดท่าขี้เหล็ก เดินเล่นดูบรรยากาศแป๊บนึง แล้วข้ามกลับมาฝั่งไทยเพื่อไปด่านพรมแดนไทย-ลาวกันต่อ


ลาว

หลังจากข้ามกลับมาที่แม่สาย เราก็ขับรถมุ่งหน้าไปยังด่านพรมแดนไทย-ลาว (สามเหลี่ยมทองคำ) กันต่อ ตั้งใจว่าจะไปหาที่นอนฝั่งลาวริมโขง แล้วพรุ่งนี้เช้าค่อยข้ามกลับมาไทย

ด่านพรมแดนไทย-ลาว (สามเหลี่ยมทองคำ)

การข้ามแดนไปลาวที่สามเหลี่ยมทองคำนี้ ดีกรีความสนุกเพิ่มมากขึ้น เพราะตอนข้ามไปพม่าเราใช้วิธีการเดินเท้า แต่ครั้งนี้ข้ามไปลาวเราจะใช้วิธีการนั่งเรือกัน โดยการนั่งเรือ Speed Boat ของ Kings Romans ฟรี (ตอนเรือกำลังจะมาจอดเทียบท่า ถึงกับต้องหันมองหน้ากันสองคน ทำไมมันถึงเก่าได้ขนาดนี้เนี่ย)

ด่านพรมแดนไทย-ลาว -1ด่านพรมแดนไทย-ลาว -2ด่านพรมแดนไทย-ลาว -3

การข้ามไปฝั่งลาว เราสามารถยื่นพาสปอร์ตไทยเข้าได้เลย โดยต้องเสียค่าเข้าประเทศคนละ 40 บาท ด่านที่กำลังข้ามไปตอนนี้จะพาไปเจอกับคาสิโนขนาดใหญ่ของที่นี่ Kings Romans Casino ซึ่งพอเรานั่งเรือฟรีของคาสิโนแล้ว ก็จะมีรถฟรีรอให้บริการรับ-ส่งระหว่างด่านตม.กับคาสิโนด้วย โดยปกติคาสิโนทุกที่จะไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปด้านใน เราเลยเก็บบรรยากาศด้านนอกมาฝากแทน

Kings Romans Casino -1 Kings Romans Casino -2 Kings Romans Casino -3 Kings Romans Casino -4

เข้าไปดูบรรยากาศด้านใน เหมือนไม่ได้อยู่ลาวนึกว่าอยู่เมืองจีนซะอีกเพราะมีแต่คนจีนเต็มไปหมดเลย ความหรูหราของที่นี่ต้องบอกตามตรงว่าไม่ค่อยเท่าไหร่ เดินดูด้านในไม่นานออกมาถาม Information ด้านหน้าว่าที่นี่มีอะไรให้ไปบ้าง เผื่อจะมีที่ให้เราได้เดินเล่นบ้าง เค้าบอกว่ามี China Town อยู่ด้านข้างคาสิโน งั้นไปดู China Town กันดีกว่า

Kings Romans Casino -5China Town Laos - 1 China Town Laos - 2 China Town Laos - 3 China Town Laos - 4 China Town Laos - 5 China Town Laos - 6 China Town Laos - 7

ตั้งแต่เคยเดิน China Town มา ที่นี่เป็น China Town ที่เงียบสงบมากที่สุด คนน้อยที่สุด ก็เดินถ่ายรูปกันไปเพลินๆ ตั้งกล้องถ่ายได้อย่างสบายใจ 555 จากที่คิดว่าจะมาหาที่นอนฝั่งนี้ เราเปลี่ยนแผนกลับไปนอนฝั่งไทยดีกว่า เพราะที่นี่ดูเงียบสงบเกินไป จนไม่มีอะไรให้เราทำสักเท่าไหร่ ขากลับบอกให้รถที่คาสิโนไปส่งที่ด่านได้เลยนะ ข้ามฝั่งกลับไปนอนแถวตัวเมืองเชียงรายกันดีกว่า

ด่านพรมแดน ลาว-ไทย -1 ด่านพรมแดน ลาว-ไทย -2 ด่านพรมแดน ลาว-ไทย -3

ก่อนเข้าตัวเมืองเชียงราย แวะกินข้าวริมฝั่งโขงกันก่อน บรรยากาศก็ดีเหมือนกันนะ แต่นั่งชิวได้ไม่มากเพราะฝนทำท่าว่าจะตก เราเลยรีบกินรีบไปดีกว่า ระหว่างทางก็หาข้อมูลที่พักไปด้วย ไม่รู้จะนอนไหนดี พรุ่งนี้ว่าจะไปวัดร่องขุ่น เลยหาพิกัดใกล้ๆ วัดร่องขุ่น เลยได้มาเจอกับที่นี่


The Garage

The Garage เป็นโฮมสเตย์เพิ่งเปิดใหม่ไม่นาน ราคาช่วงที่ไปถูกมาก 500 บาทแถมยังมีอาหารเช้าให้ด้วย เราไปถึงกันดึกมากแล้วเลยไม่ได้ถ่ายบรรยากาศข้างนอก พาไปดูด้านในห้องนอน กับส่วนกลางที่ไว้กินข้าวกันดีกว่า

The Garage Home Stay -1 The Garage Home Stay -2 The Garage Home Stay -3 The Garage Home Stay -4


DAY 3 ชมความงามของวัดร่องขุ่น – เที่ยวน้ำตกก่อนกลับ

วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการเดินทาง เราเปิดทริปด้วยการชมศิลปะที่พิพิธภัณฑ์บ้านดำ ของ อ.ถวัลย์ ดัชนี กันไปแล้ว เราก็จะอยากปิดทริปนี้ด้วยการชมศิลปะอันยิ่งใหญ่ของ อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ เช่นเดียวกัน กับที่นี่ “วัดร่องขุ่น”

วัดร่องขุ่น

เริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปี 2540 โดยท่าน อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ จิตรกรชั้นแนวหน้าของเมืองไทย แนวคิดของอาจารย์คือต้องการสร้างวัดให้เหมือนเมืองสวรรค์ที่มนุษย์สัมผัสได้ สามารถคลิ๊กอ่านประวัติของ วัดร่องขุ่น กันได้เลย อ่านแล้วต้องทึ่งเพราะทุกสิ่งที่ท่านสร้างขึ้นล้วนมีความหมายทั้งนั้น

วัดร่องขุ่น -1 วัดร่องขุ่น -2 วัดร่องขุ่น -3 วัดร่องขุ่น -4 วัดร่องขุ่น -5 วัดร่องขุ่น -6 วัดร่องขุ่น -7 วัดร่องขุ่น -8 วัดร่องขุ่น -9

หลังจากชมความงามของวัดร่องขุ่นกันไปแล้ว ยังพอมีเวลาเหลือแต่ไม่มาก เราจะไปเที่ยวน้ำตกกัน


น้ำตกขุนกรณ์

ทางไปน้ำตกขุนกรณ์ตอนแรกคิดว่าจะใกล้ๆ แต่เอาเข้าจริงค่อนข้างไกล เราต้องทำเวลากันนิดเพราะต้องรีบเอารถไปคืนที่สนามบินให้ทันเวลา พอไปถึงน้ำตกเห็นป้ายว่าต้องเดินขึ้นไปอีก 1,400 ม. มองหน้ากัน มองนาฬิกา แล้วถามว่าเอาไงดี เดินมั้ย ลองคำนวนเวลาดูแล้วว่าเราต้องเดินไปกลับ 1.4 กม. รวมถ่ายรูปภายในเวลา 30 นาที โอ้ว! แม่เจ้า เอาไงดีวะเนี่ย มาถึงแล้วนี่คิดว่าน่าจะพอไหวน่ะ เดินเร็วที่ฟิตเนสแทบทุกวันต้องเอามาใช้ประโยชน์บ้าง รีบจ้ำสิ รออะไรล่ะ

น้ำตกขุนกรณ์ -1 น้ำตกขุนกรณ์ -2 น้ำตกขุนกรณ์ -3 น้ำตกขุนกรณ์ -4 น้ำตกขุนกรณ์ -5น้ำตกขุนกรณ์ -6

สุดท้ายระยะเวลาเดินไป-กลับของเรากินเวลาไปประมาณ 1 ชม. ตอนคำนวนดันไม่คำนวนอุปสรรคที่เราไม่รู้ว่าข้างหน้าจะต้องเจออะไรบ้าง ทั้งความชัน ความลื่น สะพานข้ามน้ำ ทุกอย่างต้องใช้ความระมัดระวัง สปีดมากไม่ได้ ไหนจะถ่ายรูปอีก

…สุดท้ายเราก็มาส่งรถไม่ทัน 555 ดีนะที่ครั้งนี้เค้าไม่คิดค่าปรับเรา รอเวลาเครื่องออกเตรียมตัวกลับบ้าน ทริป 3 วัน 2 คืน 3 วัน 3 ประเทศของเรา เป็นทริปที่สนุกมากจริงๆ น่าเสียดายที่มีเวลาน้อยไปหน่อย ไว้จะหาโอกาสกลับไปอีกรอบนะ…เชียงราย…เหนือสุดแดนสยาม…

 


 

มีลิ้งค์จองที่พักเชียงรายราคาถูกมาฝากด้วยกับ Traveloka จองง่ายราคาถูก ไม่มีบัตรเครดิตก็จองได้ >>

https://www.traveloka.com/th-th/hotel/thailand/region/chiang-rai-10011104

ได้ที่พักราคาถูกกันแล้ว อย่าลืมไป เที่ยวเชียงราย ตามรอยทริปเรากันด้วยนะ รับรองเพลินแน่ๆ

 


 

 

Previous Post
Next Post

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.