เรื่องเล่าจากเมืองเก่า เดินทางมาถึงตอนที่สี่กันแล้ว ตอนนี้เราจะมุ่งหน้าสู่ดินแดนในฝันของใครหลายๆคน ดินแดนแห่งนี้มีชื่อเรียกว่า แชงกรีล่า สำหรับใครที่พลาดเรื่องเล่า 3 ตอนแรกไป สามารถเข้าไปดูที่นี่ก่อนได้ >>>
EP2 : หลงเสน่ห์ 3 เมืองเก่าลี่เจียง
— DAY 4 —
แชงกรีล่า (Shangri-La)
วันนี้เราต้องออกจากลี่เจียงกันแล้ว เพื่อเดินทางต่อไปยังดินแดนในฝัน แชงกรีล่า ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางที่ใครหลายคนอยากไปสัมผัส รวมถึงเรา A Dayscape ด้วย
เริ่มต้นออกเดินทางจากลี่เจียงเมืองเก่า โดยการขึ้นรถเมล์สาย 11 คนละ 1 หยวน ให้ขึ้นฝั่งตรงข้ามเมืองเก่าแล้วนั่งไปจนสุดสายก็จะถึงสถานีขนส่ง New Bus Station เพื่อนั่งรถบัสต่อไปยังแชงกรีล่า
ตอนขึ้นรถเราบอกให้คนขับช่วยบอกเราด้วยถ้าถึงป้าย New Bus Station แล้ว นั่งไปเรื่อยๆคนบนรถเริ่มน้อยลง จนมาถึงป้ายนึงคนลงจนหมดรถ แล้วรถก็จอดอยู่สักพัก เรามองหน้าคนขับซึ่งเค้าก็ไม่ว่าไง แต่เราก็เริ่มเอะใจว่าใช่ป้ายนี้รึป่าว นั่งสักพักเริ่มทะแม่งๆ เพราะจอดนานเกินละ เลยเดินไปถามคนขับว่าถึงรึยัง เค้าบอกว่าถึงแล้ว ป้ายนี้แหละ!
เอ้า!!! แล้วทำไมไม่บอก ให้นั่งเหวออยู่ได้ตั้งนาน สงสัยแกจะลืม หรือไม่ก็ไม่เข้าใจที่เราบอกไปตอนแรก
เข้าไปด้านใน กำลังจะเดินไปช่องขายตั๋ว มีจนท.คนนึงเดินเข้ามาหา น่าจะเป็นจนท.ที่อยู่บูธคอยให้ความช่วยเหลือนักท่องเที่ยว พูดภาษาอังกฤษได้ ถามว่าเราจะไปที่ไหน แล้วก็เช็ครอบรถให้จากมือถือ เป็นการช่วยเหลือและให้ข้อมูลนักท่องเที่ยวเบื้องต้น (ดีจัง)
หลังจากนั้นเราเดินไปที่ช่องขายตั๋ว แล้วบอกว่าไปแชงกรีล่า เค้าก็เข้าใจเราดีนะ ได้ตั๋วมารอบ 9:30 น. คนละ 58 หยวน รถบัสที่นี่คันจะเล็กๆนั่งกันใกล้ชิดอบอุ่นน่าดู เอาตั๋วยื่นให้ดูก่อนขึ้นรถ เดินขึ้นไปบนรถแบบงงๆ ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ว่าใช่คันนี้มั้ย เพราะไม่มีภาษาอังกฤษสักตัว ขึ้นไปแล้วก็ไม่รู้ว่าตั๋วระบุที่นั่งรึป่าว แต่มองไปเห็นว่าเหลือแค่ 2 ที่พอดี (เออดี ลงตัว จะได้ไม่ต้องสงสัยว่านั่งตรงไหน)
ก่อนรถจะออก คนขับขึ้นมาพูดอะไรก็ไม่รู้เป็นภาษาจีนล้วนๆ บนรถก็คนจีนล้วนๆ เหมือนกัน ไม่มีนักท่องเที่ยวสักคน เราอยากรู้ว่าเค้าพูดอะไรเพราะดูทุกคนให้ความสนใจกันมาก หันไปถามคนข้างๆว่าพูดภาษาอังกฤษได้มั้ย เค้าส่ายหน้า เลยหันไปอีกทางเห็นสาวหน้าตาแบบคนเมืองหน่อย ดูแล้วน่าจะพูดภาษาอังกฤษได้มั้ง เลยหันไปคุยกับเค้า เค้าบอกว่าพูดได้นิดหน่อย (นิดหน่อย!! ในใจตอนนั้นคิดว่ารอดแล้วโว้ย นิดหน่อยก็ยังดี)
เราถามเพื่อความชัวร์ว่าคันนี้ไปแชงกรีล่าใช่มั้ย เค้าตอบกลับมาว่า Yes!!! ได้ยินแบบนี้เราก็ Yeah!!! ดิ (รออีกนิดนะแชงกรีล่า กำลังจะไปหาแล้ว) หลังจากนั้นเราก็คุยสัพเพเหระกันไปเรื่อย ตลอดทางเกือบ 4 ชม. สาวๆกลุ่มนี้น่ารักจริงๆพูดไม่ค่อยได้แต่ก็พยายามจะคุยด้วย อธิบายว่าเรากำลังผ่านอะไรบ้าง รถแวะจอดให้เข้าห้องน้ำ ก็บอกว่าต้องจ่ายเงินด้วยนะ 1 หยวนกลัวว่าเราจะไม่รู้ คอย Take Care ตลอด เป็นเจ้าบ้านที่ดีจริงๆ
นี่คือหน้าตาเพื่อนใหม่ของเรา 4 สาวที่ทุกวันนี้เราก็ยังคงติดต่อกันอยู่
4 สาวไม่ได้เป็นคนที่นี่ แต่อยู่ที่มณฑล Jiangxi ซึ่งไกลจากมณฑล Yunnan พอสมควร เดินทางมาท่องเที่ยวที่ลี่เจียงและแชงกรีล่าเหมือนกับเรา 4 สาวทำให้เรารู้ว่า คนจีนจะเรียกคนไทยว่า “ไท่กั๋ว” ทำให้หลังจากนั้นเวลาใครถามว่าเรามาจากไหน ไทยลงไทยแลนด์ไม่ต้องละ ตอบไปเลยว่า ไท่กั๋ว แค่นี้เข้าใจทุกคน
4 ชั่วโมงที่ดูเหมือนว่าจะนาน แต่ความสวยงามที่ได้เห็นตลอดสองข้างทาง มันทำให้เรารู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วมากๆ แป๊บเดียวก็ถึงแล้ว
เมื่อไปถึงสถานีขนส่งแชงกรีล่า เราเตรียมตัวร่ำลาเพื่อนใหม่ แต่พอเดินออกมาด้านนอกเท่านั้นแหละ ต้องบอกทุกคนให้เตรียมตัวเตรียมใจกันไว้เลย เพราะจะมีคนเข้ามารุมเราเต็มไปหมด แบบเยอะมากๆ แย่งกันเสนอรถเพื่อพาเข้าเมือง พาไปเที่ยว หรือจะไปโรงแรม ไปไหนไปหมด ไม่รู้ว่าแพงแค่ไหน แต่เรามีความเชื่อว่าลักษณะแบบนี้ต้องแพงกว่าเรียกแท๊กซี่แน่ๆ เลยขอให้เพื่อนใหม่ช่วยเรียกแท๊กซี่จากด้านหน้าสถานีขนส่งไปโรงแรมที่เราจองไว้ให้หน่อย ซึ่งแท๊กซี่ก็หาง่าย แถมราคาไม่แพงอีกต่างหาก 10 หยวนเท่านั้นเอง
หน้าตาแท๊กซี่ที่นี่เป็นแบบนี้
Shangri-La Home Inn
เรามีเวลาอยู่แชงกรีล่า หรือเรียกอีกชื่อว่า จงเตี้ยน (Zhongdian) แค่คืนเดียว ที่พักที่จองไว้ชื่อ Shangri-La Home Inn อยู่ในย่านเมืองเก่า (Dukezong Old Town) โดยจองผ่าน Agoda ราคาไม่แพงคุ้มค่ามาก ตอนที่จอง 1,043 บาท เป็นห้องสไตล์ทิเบต น่ารักดี
ที่นี่มีคนที่พูดภาษาอังกฤษได้แค่คนเดียว แล้วภาษาก็ไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลยเราสามารถหาวิธีสื่อสารกับเค้าได้ ใครมาแชงกรีล่าแนะนำให้มาพักที่นี่รับรองไม่ผิดหวัง เพราะคนที่นี่น่ารักมากทุกคน ดูแลเอาใจใส่ดีมาก อบอุ่นเป็นกันเอง ดูแลเราเหมือนเป็นคนในครอบครัวเลยทีเดียว
น้องหมามาคอยต้อนรับ
หมาที่นี่น่ารักใช่มั้ย ไว้ผมบ๊อบด้วย 55555
ครอบครัว Home Inn น่ารักทุกคน
คนนี้แหละเจ้าของที่คอย speak กับเรา
บริเวณนี้จัดไว้ให้เรานั่งเล่นก่อนเดินเข้าห้อง
ด้านในห้อง ไม่ค่อยได้ถ่ายในห้องเลยเพราะว่ารีบมาก จริงๆมีส่วนของห้องนั่งเล่นด้วย
วัดซงจ้านหลิน
Songzanlin Monastery 松赞林寺
อย่างที่บอกว่าเรามีเวลาที่นี่น้อย คือวันนี้ครึ่งวันกับพรุ่งนี้อีกวันเดียว เราก็ต้องบินกลับไปคุนหมิงเพื่อเตรียมตัวกลับกรุงเทพกันแล้ว เราเลยต้องรีบวางกระเป๋าไว้ในห้อง (ไม่ทันได้ถ่ายรูปห้องเก็บไว้ แต่จริงๆแล้วห้องน่ารักมาก) แล้วติดต่อหารถเพื่อพาเราไปยังจุดหมายปลายทางแรกในวันนี้ คือ วัดซงจ้านหลิน Songzanlin Monastery 松赞林寺
ที่พักมีบริการรถรับ-ส่งสนามบิน และยังมีรถพาไปยังจุดท่องเที่ยวอีกด้วย ตอนแรกเราตั้งใจว่าจะไปวัดซงจ้านหลินด้วยรถเมล์ แต่ก็ลองสอบถามราคาจากที่พักดูก่อนว่าคิดเท่าไหร่ เค้าบอก 30 หยวน เราว่าไม่แพงก็เลยใช้รถที่นี่พาไปเลยละกัน สะดวกดี
ที่เราใช้คำว่า “มีรถพาไปยังจุดท่องเที่ยว” คือเค้าพาไปจริงๆ ไม่ได้อยู่กับเราตลอด ใช้วิธีนัดเวลาเอา ว่าจะเจอกันอีกทีกี่โมง ถือว่าโอเคนะ ราคาไม่โหดแถมยังสะดวกอีกด้วย เอาล่ะ…ได้เวลาแล้วไปกันเลย
โชว์เฟอร์ของเราวันนี้ อัธยาศรัยดี อารมณ์ดี พูดอังกฤษไม่ได้ แต่พยายามให้เราช่วยสอนให้ตลอดทาง และนี่คือคำติดปากของเค้า Thank you very much “แซ้งกิ้ว เวรี่ มาส” ถึงจะออกเสียงไม่ค่อยถูก แต่ความพยายามนี่ให้เต็ม 100 เลย ท่องไปตลอดทาง (แต่…เดี๋ยวนะ! คืออากาศเย็นมากแล้วพี่ใส่แค่แขนสั้นคืออะไร ><)
Let’s go…
วัดซงจ้านหลิน อยู่ไม่ไกลจากย่านเมืองเก่าที่เราพักเท่าไหร่นัก ก่อนจะไปวัดคนขับพาแวะซื้อตั๋วก่อน ไม่ได้ไปซื้อที่วัดแวะซื้อกลางทาง ก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องซื้อที่นี่ แต่ราคาก็เท่ากับที่เช็คมานะ คนละ 115 หยวน พอถึงบริเวณวัด รถที่มาส่งเราจะเข้าไปไม่ได้ ต้องนั่งรถเมล์ของวัดเข้าไปอีกที ไม่เสียเงินนะ รวมอยู่ในค่าเข้าแล้ว
วัดซงจ้านหลิน เป็นวัดแบบทิเบตที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในมณฑลยูนนาน มีอายุเก่าแก่กว่า 300 ปี ตั้งอยู่บนระดับความสูง 3,300 เมตรจากระดับน้ำทะเล โดยสร้างจำลองแบบจากพระราชวังโปตาลา ในกรุงลาซา ของทิเบต แต่ขนาดเล็กกว่า หลายคนจึงเรียกที่นี่ว่า โปตาลาน้อย วัดนี้เป็นวัดที่สำคัญมากๆสำหรับคนที่นับถือศาสนาพุทธแบบทิเบต และมีความเคร่งครัดทางศาสนามาก และจะมีพระลามะจำวัดอยู่เป็นจำนวนมาก รวมทั้งกงล้ออธิษฐาน และธงมนตรา ที่เป็นสัญลักษณ์ของทิเบตอีกด้วย
การเดินชมที่นี่แนะนำว่า ให้เดินอย่างช้าๆ วิถีแบบ Slow Life สามารถนำมาใช้ได้ดีเลยทีเดียว เนื่องจากเราอยู่บนระดับความสูงที่ไม่คุ้นเคย อากาศก็เบาบางกว่าปกติ แถมยังต้องเดินขึ้นบันไดชันๆอีกประมาณ 200 ขั้น เชื่อเถอะ! ทำอะไรให้ช้าๆเข้าไว้ ดีที่สุด เราขอเข้าไปชมด้านในกันก่อน แล้วค่อยออกมาเดินเล่นรอบๆทะเลสาป เมื่อขึ้นมาด้านบนจะได้เห็นกับวิวทิวทัศน์ ที่งดงามแปลกตา การถ่ายรูปที่นี่ต้องระมัดระวังนิดนึง อนุญาตให้ถ่ายได้เฉพาะด้านนอกเท่านั้น ส่วนด้านในวิหารต่างๆไม่อนุญาตให้ถ่าย
ออกมาเดินเล่นรอบๆทะเลสาปกันต่อ เพื่อจะได้เห็นความงามและความยิ่งใหญ่ของวัดแบบเต็มๆตา ทะเลสาปแห่งนี้มีชื่อว่า Lamuyangcuo Lake ระยะทางรอบทะเลสาปเท่ากับ 2,110 เมตร ถ้าจะเดินให้รอบเค้าบอกว่าต้องใช้เวลาประมาณ 40 นาที ตอนแรกเราก็ตั้งใจจะเดินให้ครบรอบนะ แต่ด้วยเวลาที่มีอยู่ไม่มาก เพราะใกล้เวลาที่ต้องกลับไปเจอพี่โชว์เฟอร์แล้ว เราเลยเดินได้แค่ครึ่งเดียวเอง
ใกล้ถึงเวลานัดกับพี่คนขับรถเต็มที เดินได้แค่ครึ่งทางก็ต้องรีบหันหลังกลับ…
ถ้าใครชอบถ่ายรูปและอยากชมความงามรอบๆแบบดื่มด่ำโดยไม่ต้องรีบร้อน อยากให้เผื่อเวลาไว้สัก 2-3 ชั่วโมง เพราะที่นี่กว้างมากใช้เวลาเดินชมนานพอสมควร ไหนจะเดิน ไหนจะถ่ายรูป ไหนจะหยุดพัก ไหนจะหยุดชื่นชมความงามรอบๆตัวเราอีก ขนาดเราว่าเราเผื่อเวลาแล้วนะ ยังไม่พอเลย
กลับถึงที่พักด้วยอาการหิวโซ ตั้งใจว่าจะออกไปหาอะไรกินในย่านเมืองเก่า แต่พอกลับมาถึง..เจ้าของก็เข้ามาต้อนรับเป็นอย่างดี ถามไถ่ว่าเป็นยังไงบ้าง โอเคมั้ย แล้วกินอะไรหรือยัง เข้าทางเราพอดีเลย ว่าจะให้เค้าแนะนำให้หน่อย ว่าแถวนี้มีอะไรอร่อยๆกินบ้าง เค้าเลยบอกว่าที่นี่มี Hot Pot ด้วยนะสนใจมั้ย เราว่าก็ดูน่าสนใจดี บอกราคามาก็ไม่แพงเท่าไหร่ เราเลยโอเค
แล้วก็ไม่ผิดหวังจริงๆ เจ้าของร้านเค้าน่ารักมากพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยคล่อง เลยขอให้พี่คนนึงที่เค้าพักที่นี่ช่วยมาบอกเมนูเรา ว่ามีอะไรบ้าง พี่คนนี้เค้าเป็นคนสิงคโปร์ก็เลยคล่องทั้งจีนและอังกฤษ ถือเป็นโชคดีของเราด้วย ได้กินของอร่อยเลย พี่เค้าแนะนำว่ามาที่นี่ต้องกิน Special Cow ตอนแรกก็สงสัยว่าอะไรคือ Special Cow เดาว่าต้องเป็น เนื้อจามรี แน่ๆ เลยเอารูปจามรีให้ดูว่าใช่เนื้อนี้มั้ย เค้าบอกใช่ โชคดีมากเพราะตั้งใจว่าอยากมาลองเนื้อจามรีอยู่แล้ว มาถึงก็ได้กินเลย มาแล้วต้องลอง ราคาสำหรับ 2 คน 170 หยวน (มีสั่งเนื้อจามรีเพิ่มจากในชุดด้วย) ถือว่าโอเค คุ้มค่าอิ่มอร่อยมาก!
วัดต้าฝอ
หลังจากอิ่มอร่อยกันไปแล้ว ตั้งใจไปเดินเล่นในเมืองเก่ากัน ซึ่งอยู่ใกล้กับที่พักมากเดินไม่กี่สิบก้าวก็ถึงแล้ว ที่พลาดไม่ได้เลยคือต้องเดินขึ้นไปที่ วัดต้าฝอ ซึ่งจะมีกงล้อแบบทิเบตเพื่อหมุนสำหรับขอพร แต่กงล้อที่นี่มีความพิเศษแตกต่างจากที่อื่น คือ เป็นกงล้อยักษ์ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีความสูง 21 เมตร และน้ำหนักมากถึง 60 ตัน ในการจะหมุนกงล้อได้นั้น คิดว่าต้องใช้แรงคนมากกว่า 20 คนถึงจะสามารถหมุนได้
อย่างที่บอกไปตอนแรกแล้วว่า การจะหมุนกงล้อยักษ์นี้ได้ ต้องใช้แรงคนเป็นจำนวนมาก ต้องร่วมแรงร่วมใจและใช้ความสามัคคีเท่านั้นถึงจะหมุนได้ ถ้าใครไปแล้วอยากหมุนกงล้อให้ได้นั้น แต่เจอปัญหาไม่สามารถสื่อสารกับคนแถวนั้นได้ ให้ใช้วิธีเราเลย รับรองว่าจะได้เห็นถึงพลังสามัคคีของคนแถวนั้นแน่นอน
เดินเข้าไปจับเชือกที่กงล้อ แล้วทำท่าดึงเชือกเพื่อจะหมุน และกวักมือเรียกให้คนแถวนั้นเข้ามาช่วย ใช้เสียงบิ้วเค้าหน่อย Come on!! Come on!! รับรองว่าจะมีคนทยอยเข้ามาช่วยอย่างแน่นอน เพราะทุกคนที่นี่อยากจะหมุนกงล้อเพื่ออธิษฐานขอพรกันอยู่แล้ว แล้วพอกงล้อเริ่มขยับ คุณจะยิ่งมีแรงฮึด จนมันเริ่มหมุนได้ คุณจะดีใจมาก และได้รับรู้ถึงพลังสามัคคี ที่ถึงแม้ว่าจะต่างชาติต่างภาษากันแต่ทุกคนก็ยินดีที่จะร่วมแรงร่วมใจช่วยกันทำให้สำเร็จ…
อิ่มบุญแล้ว ว่าจะไปเดินเล่นเมืองเก่า แต่ด้วยความบังเอิญได้เจอเพื่อนสาวชาวจีนที่เจอกันตอนนั่งรถมาอีกครั้ง ต่างคนต่างดีใจมากที่ได้เจอกัน เราพาเพื่อนไปหมุนกงล้ออีกรอบ เดินชมเมืองเก่า ที่ไม่ค่อยได้ชมเท่าไหร่ เพราะมัวแต่เม้าท์กันตลอดทาง คุยกันแบบเมื่อยมือมากเพราะสื่อสารกันไม่ค่อยเข้าใจ 555 แต่ก็สนุกมากจริงๆ ขอบคุณมิตรภาพดีๆที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินทางในครั้งนี้ จากที่เราประทับใจเมืองจีนตั้งแต่ก้าวเท้าเข้าประเทศครั้งแรก ยิ่งทำให้เราประทับใจมากขึ้นไปอีก จนอยากกลับไปอีกรอบ
เราขอปิดท้ายตอนนี้ด้วยรูปเมืองเก่าไม่กี่รูปเพราะไม่ค่อยได้ถ่าย แล้วตอนหน้าเราจะพาไปขึ้นภูเขาหิมะกัน ทิ้งท้ายก่อนที่จะต้องเดินทางกลับไทยกันแล้ว